Translate

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผลของอกุศลกรรม




 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ชีวิตในวันหนึ่ง ๆ หนีไม่พ้นผลของกรรมซึ่งได้กระทำแล้ว  จึงทำให้มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสต่าง ๆ ทางกาย  ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ผลของกรรมใดจะส่งผลเมื่อไรขณะใด......กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้น  เป็นปัจจัยให้มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส  การรู้กระทบสัมผัสทางกาย

กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว ไม่หายไปไหน เมื่อมีเหตุมีปัจจัยที่จะให้ผลเกิด ผลของกรรมนั้นก็จะเกิดขึ้น โดยไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงหรือยับยั้งได้เลย  ตลอดจนกระทั่งถึงกาลที่จะปรินิพพาน  เพราะเหตุว่า แม้แต่บุคคลที่ได้สะสมบุญกุศล จนสามารถที่จะบรรลุมรรคผลถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถที่จะหลีกพ้นจากอดีตอกุศลกรรม ที่ได้กระทำไว้แล้ว

จะเห็นได้ว่าชีวิตของแต่ละคน  บางครั้งก็อาจจะมีความทุกข์  ซึ่งเกิดจากผลของอกุศลกรรม เช่น  ได้เห็นสิ่งที่ไม่ดี  ได้ยินเสียงที่ไม่ไพเราะ  ได้กลิ่นที่ไม่ดี  ได้ลิ้มรสที่ไม่อร่อย  ได้กระทบสัมผัสต่าง ๆ ที่ไม่สบายทางกาย......ดังนั้น  ก็ขอให้ทราบว่า  ต้องมีเหตุที่ได้กระทำไว้แล้ว  ตราบใดที่ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ  อกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้อกุศลวิบากจิตเกิดขึ้นได้  ตลอดไปจนกว่าจะถึงกาลที่จะปรินิพพาน โดยไม่มีผู้ใดสามารถที่จะยับยั้งได้


                                                     
                                                          ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์


                                                             ............................................



วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของการศึกษาเรื่องกรรม


 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับประโยชน์ในการรู้เรื่องกรรม  การศึกษาพระธรรม การฟังพระธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิต เรื่องเจตสิก   เรื่องสติปัฏฐานและเรื่องกรรม ก็ย่อมจะต้องได้ประโยชน์ทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น ถ้าจะพิจารณาถึงประโยชน์ของการที่จะเข้าใจเรื่องกรรม ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริง ๆ  ก็จะเห็นได้ว่า เมื่อเราได้รู้ว่าขณะใดเป็นอกุศลกรรม ก็จะได้เว้นสิ่งนั้น  และรู้ว่าสิ่งใดเป็นกุศล ก็จะได้เจริญกุศลกรรมยิ่งขึ้น อย่างเจตนาฆ่า เจตนาเบียดเบียน ทั้งหมดนี้เป็นอกุศล ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นบิดามารดาหรือไม่ใช่บิดามารดา ผู้ที่ใกล้ชิด หรือผู้ที่ไม่คุ้นเคยก็ตาม ก็จะทำให้ละเว้นอกุศลกรรมกับทุกบุคคล  แม้ว่าจะเป็นสัตว์ และเป็นอาหารที่ไม่บริโภค เป็นของเหลือแล้วหรือทิ้งแล้ว  แต่ก็มีเจตนาที่เป็นกุศล รู้ว่าขณะใดเป็นกุศลจิต ขณะใดเป็นกุศลกรรม  ก็ย่อมสามารถที่จะกระทำกุศลกรรมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการรู้เรื่องกรรมและเข้าใจจริง ๆ ก็จะทำให้อกุศลกรรมลดน้อยลง และกุศลกรรมเจริญขึ้น

นอกจากนั้น ยังเป็นประโยชน์ในการเจริญสติปัฏฐานที่จะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะใดเป็นกรรม ซึ่งเป็นเหตุและในขณะใดเป็นวิบากซึ่งเป็นผล  จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่์สัตว์  ไม่ใช่บุคคล  เช่น ในขณะที่กำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด   ก็รู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นผลของกรรม เป็นวิบาก  ขณะใดที่จิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส  ขณะนั้นก็รู้ว่าเป็นอกุศลจิต เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง  ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป  แม้สภาพธรรมที่เป็นกุศล ก็ไม่ติดว่าเป็นกุศลของเรา  เพราะเหตุว่ากุศลกรรมก็เป็นเพียงนามธรรมซึ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป  การที่จะอบรมเจริญปัญญาที่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดตามความเป็นจริง  ทำให้ละคลายการยึดถือสภาพธรรมทั้งหลายว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

นี่คือประโยชน์ในการที่จะเข้าใจเรื่องของกรรมอะเอียดขึ้น มิฉะนั้นแล้ว ก็ยังเป็นตัวตนอยู่ว่า เป็นกรรมของเรา หรือเราทำกรรม หรือว่าเป็นวิบากของเรา  แต่ว่าตามความจริงแล้ว ไม่มีสภพธรรมใดเลยทั้งสิ้นซึ่งจะพึงยึดถือว่า เป็นของเราได้  บางคนคิดว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้  ขณะนั้นเป็นเราจริง ๆ ที่กำลังคิด  และเมื่อได้รับผลจากความคิดที่จะกระทำสิ่งนั้น  ก็คิดว่าเป็นเราที่ได้รับผลของสิ่งที่เราคิด  แต่เมื่อมีเราคิด ก็ตองมีผลของการกระทำของเราด้วย

เพราะฉะนั้น  ถ้ารู้ว่าไม่ใช่เราที่คิด คิดเป็นชั่วขณะหนึ่ง เห็นเป็นอีกขณะหนึ่ง เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็นจะเป็นผลของขณะที่คิดได้ไหม  ถ้าสติปัฏฐานเกิดจริง ๆ  จะรู้ได้ทีเดียวว่าไม่ใช่  เพระเหตุว่าขณะที่เห็น  ขณะที่ได้ยิน ต้องเป็นวิบาก


                                                     ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์


                                                  ....................................................