Translate

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

เหนือสิ่งอื่นใดคือปัญญา


สิ่งที่ประเสริฐสุดไม่ใช่เป็นเพียงความรู้สึกสุข  ทุกข์  เพราะเหตุว่าวันหนึ่ง ๆ  ทุกคนปรารถนาความสุขและก็ไม่ชอบความทุกข์  แต่สิ่งที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดก็คือปัญญา  ถ้าเราได้สามารถเข้าใจถูก  เห็นถูกในสภาพธรรม  เราก็จะไม่มีความกังวลเลยว่า  อะไรจะเกิดขึ้น  เพราะปัญญาจะสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นเองไม่ได้เลย  ถ้าไม่มีปัจจัยที่เหมาะสม  ที่สิ่งนั้น ๆ  ต้องเกิดเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น  หรืออย่างที่เราคิดเราต้องการ  ต้องเป็นอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น  ถ้ามีความเข้าใจจริง ๆ  ปัญญาจะทำให้กุศลต่าง ๆ  เจริญยิ่งขึ้น

มีความอดทน  ทนต่อสิ่งไม่น่าพึงพอใจ  หรือเมื่อประสบกับสิ่งที่น่าพอใจ  ก็อดทนที่จะไม่ให้เกิดความยินดีปรารถนาอย่างรุนแรงหรือว่าแล้วแต่กำลังของปัญญา  และกุศลอื่น ๆ  ก็จะเจริญด้วย  ไม่เพียงแต่กุศลในเรื่องของการฟังธรรมหรือการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น  แต่ความเห็นถูกก็จะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งจิต  ซึ่งจะนำมาซึ่งกุศลอื่น ๆ  ด้วย  เพราะเหตุว่าความเห็นถูก  อย่างเช่นว่า  ถ้าเรารักสุขเกลียดทุกข์ คนอื่นก็เหมือนกัน  เพระาฉะนั้น  เราก็จะไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น  เพราะว่าเรามีเมตตา  เราก็จะไม่ทำอกุศลกรรม  เพราะเรารู้ว่าอกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์  ถ้าเรามีเมตตาต่อกัน  ทุกคนก็จะรู้สึกอบอุ่นสบายใจ  ถ้ามีเพื่อนมีคนคอยช่วยเหลือเกื้อกูล  มีความหวังดีต่อเรา  เราก็จะรู้สึกเป็นสุข

ถ้าเรามีปัญญา  เราก็จะเข้าใจในความทุกข์ของคนอื่นซึ่งก็เป็นกรุณา  คนเรามีความทุกข์หลายรูปแบบ  มีชีวิตแตกต่างกันไปตามกรรม  ถ้าเราสามารถที่จะช่วยคลายทุกข์ให้แก่ผู้อื่นได้โดยกาย  วาจา  หรือโดยความหวังดีซึ่งเป็นทางใจ  ซึ่งก็จะทำให้การกระทำทุกอย่างให้เป็นไปในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นและต่อตนเองด้วย  ก็เป็นจิตที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว  ไม่หวังแต่ผลประโยชน์ตน  เพราะฉะนั้น  ถ้ามีความเข้าใจและเห็นประโยชน์ของปัญญา  โดยเฉพาะปัญญาเท่านั้นที่จะนำออกจากสังสารวัฏได้


กองทุกข์ทั้งมวล  ทุกชาติ  เมื่อเกิดมาแล้วไม่มีใครที่ไม่ทุกข์  ทุกชาติเกิดมาต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไป ออกไม่ได้เลยถ้าไม่มีปัญญา  เพราะฉะนั้น  ก็จะเริ่มเห็นคุณค่าของปัญญาและเห็นประโยชน์ของปัญญา  เห็นพระคุณของพระรัตนตรัย  ที่เราได้สะสมมาจนกระทั่่งเป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม  ฟังพระธรรม  ได้ไตร่ตรอง  ได้อบรมให้เจริญขึ้น  เพื่อที่จะละคลายอกุศลกรรม  จนสามารถดับได้เป็นสมุทเฉจ  เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องห่วงและกังวัลเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว  ถ้าเป็นพระโสดาบันจะไม่เกิดในอบายภูมิ  แม้ว่ากรรมนั้นมีโอกาสที่จะให้เกิดในอบายภูมิ  แต่ด้วยคุณธรรมของพระโสดาบัน  พร้อมทั้งปัญญาที่สามารถจะดับกิเลส

การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนและการสงสัยในสภาพธรรม  ไม่ใช่วิสัยผู้ที่จะเป็นพระสกทาคามี  เป็นพระอนาคามีและจะเป็นพระอรหันต์ในวันข้างหน้า  นี่ก็แสดงว่าเราเห็นประโยชน์ของปัญญามากกว่าอย่างอื่น  และสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็แล้วไป  เดี๋ยวนี้ขณะนี้ที่เรากำลังเห็น  กำลังได้ยิน  กำลังได้กลิ่น  กำลังลิ้มรส  กำลังรู้สึกเย็น  ร้อน  อ่อน  แข็ง  ไหว  ตึง  ก็เพราะอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว  นี่ก็ให้เข้าใจจริง ๆ  ว่า  ทุกขณะที่เห็น  ได้ยิน  ได้กลิ่น  ลิ้มรส  กระทบสัมผัส  ไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวใด ๆ  เพราะว่าตัวธรรมจริง ๆ  เป็นผลของกรรม  ส่วนเรื่องราวนั้นเป็นการทรงจำ  เป็นความนึกคิดในสิ่งที่ปรากฏ  เป็นสัตว์  บุคคล  เป็นเรื่องราวต่าง ๆ   เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรกังวลในอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว  ควรจะเห็นโทษของอกุศล  ถ้าผู้ใดกำลังได้รับความทุกข์ยากลำบาก  พึงทราบว่าไม่มีใครทำให้เราเป็นเช่นนั้นเลย
เป็นอดีตกรรมของเราที่ได้กระทำแล้ว

เพราะฉะนั้น  กุศลกรรมเจริญได้เพราะปัญญา  ก็จะทำให้ค่อย ๆ  ละคลายหรือลดกำลังของการกระทำอกุศลน้อยลง  จนกระทั่งต่อไปอกุศลไม่เกิด  เพราะเหตุว่าปัญญาสามารถรู้ตามความเป็นจริงว่า  ขณะนั้นเป็นอกุศล

 ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
.

.....................................



หนังสืออ้างิง......พื้นฐานพระอภิธรรม
บ้านธัมมะ  มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา