Translate

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

หนทางอันประเสริฐ


 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทุกวันมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีกระทบสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง  เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง  เพราะรู้ได้ด้วยการฟังธรรมด้วยการพิจารณา ก็จะค่อย ๆ เข้าใจขึ้น  ปัญญาสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้  แต่ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น คือ  ถ้าไม่มีการฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ให้เข้าใจ  ว่าคืออะไร  คือเป็นสิ่งที่มีและเกิดขึ้นปรากฏชั่วคราวแล้วก็ดับไป

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้แทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น  เพราะเห็นว่าเรื่องอื่นสำคัญที่สุดในชีวิต  แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เข้าใจว่าสำคัญที่สุดนั้นคือ ปัญญาที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นอะไรสำคัญกว่ากันและอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต  เพราะว่าทุกคนอาจจะคิดถึงเรื่องสำคัญมากมายในชีวิต  แต่ก็ผ่านไปโดยไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็อย่าลืมว่า ชีวิตแต่ละชีวิตย่อมเป็นไปตามภาวนา  ภาวนาในที่นี้หมายถึงการอบรม จะเห็นว่าอบรมจากอะไร ก็อบรมจากสิ่งที่เห็นทางตา สิ่งที่ได้ยินทางหู  ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและใจ  เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยิน ได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ๆ ในเรื่องของความจริงที่มีจริงในขณะนี้  ชีวิตที่จะเป็นไปข้างหน้า ก็ย่อมเป็นไปตามภาวนา คือ การเข้าใจสิ่งที่มีจริง ๆ ในขณะนี้ตามที่ค่อย ๆ เข้าใจขึ้น  มิฉะนั้นชีวิตก็จะเป็นไปตามความไม่รู้ตามความจริงของสิ่งที่ปรากฏ  จึงมีความยึดมั่นเพิ่มขึ้น ๆ  จึงยากที่จะไถ่ถอนหรือดับให้หมดสิ้นไปได้

 แต่ตราบใดที่ยังมีพระธรรม  คำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงอยู่ ให้ได้ยินให้ได้ฟัง ให้ได้พิจารณาอย่างรอบครอบเพิ่มขึ้น ๆ   ก็จะทำให้เป็นหนทางที่เมื่อมีวาจาสัจจะ ว่าหนทางนี้มีจริง ก็จะเป็นเหตุให้ผู้ฟังเกิดปัญญาญาณสัจจะ และกำลังเจริญมรรคมีองค์ ๘  ซึ่งเป็นหนที่ที่จะทำให้รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมไม่ใช่เป็นสิ่งที่พาให้ลำบากหรือพาไปอบายภูมิ  แต่เป็นหนทางที่จะทำให้มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น เดินไปตามทางของปัญญาที่ได้เข้าใจแล้ว ตรงตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีและทรงอนุเคราะห์  แม้ว่าจะทรงดับขันธปรินิพพานไปกว่า ๒๕๐๐ กว่าปี แต่พระธรรมที่ทรงแสดงความจริงของเห็น  ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส  กระทบสัมผัส คิดนึก ในขณะนี้ก็ยังมีอยู่ ให้ผู้ที่เห็นประโยชน์และมีศรัทธาในอดีตกาลมาจนบัดนี้  มีโอกาสที่จะได้ไตร่ตรองและเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ต้องไม่ขาดการฟังเพื่อที่จะอบรมปัญญา  เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ  ทุกคนสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง  รู้ยากเห็นได้ยาก  เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง  แม้แต่จะพูดเรื่องเห็นขณะนี้ ใจก็จะคิดถึงเรื่องอื่น เพราะว่ายังไม่ถึงกาลที่จะเข้าใจจริง ๆ   ถ้าพูดถึงเรื่องเห็นใจก็จะไม่คิดถึงเรื่องอื่น  แต่กำลังเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้  กว่าที่จะฟังจนเข้าใจแล้วน้อมเข้ามาในตน  โอปนยิโก ไม่ใช่น้อมไปที่คนอื่น

 ธรรมทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังเป็นสิ่งมีจริง  แต่ไม่รู้ก็ไปยึดว่าเป็นตัวตน  จนกว่าจะเข้าใจขึ้น โลกก็คือขณะหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏแต่ละทาง  ขณะที่แข็งกำลังปรากฏไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย  นี่คือสิ่งที่ควรเก็บไว้ในหทัยให้มั่นคง ว่าไม่มีอะไรเลย  ที่ว่ามีก็เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้  แต่ขณะใดก็ตามมีแล้วด้วย เช่น ขณะนี้แข็งก็มี เกิดแล้ว เห็นก็มี เกิดแล้ว  สามารถรู้ได้ว่า แต่ละอย่างมีจริงแต่สามารถรู้ได้แต่ละอย่าง ทีละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย  แล้วก็ดับไป

 เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้แจ้งนิพพานการดับกิเลสก่อนที่จะเป็นไปได้จริง ๆ  เมื่อปัญญาได้อบรมเจริญแล้ว  ก็คือว่า ค่อย ๆ อบรมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก  แล้วก็จะรู้ว่าแม้ฟังมา ก็เป็นความรู้ขั้นปริยัติ  ฟังเพื่อเป็นการสะสมความเห็นถูกว่าเป็นธรรม  ไม่ใช่เรา  แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้เลย ก็เข้าใจแต่ละหนึ่ง ว่าเป็นเราหมดเลย

 เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง  ฟังธรรมเข้าใจธรรมที่กลังปรากฏว่าเป็นธรรมแค่ไหน  แต่ว่าจะไม่พ้นไปจากความจริงเลย เป็นสัจจวาจา เป็นสัจจธรรมที่จริงตลอด เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่มีโอกาสที่จะได้เห็นถูกเข้าใจถูก จากการที่ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้เลย ในกาลที่ยังไม่เคยฟังพระธรรม แต่เมื่อฟังแล้วมีสิ่งที่เป็นธรรมจริง ๆ ปรากฏให้เข้าใจได้


              ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์


                                            ............................................