ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย |
ทุกวันมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีกระทบสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะรู้ได้ด้วยการฟังธรรมด้วยการพิจารณา ก็จะค่อย ๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ แต่ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น คือ ถ้าไม่มีการฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ให้เข้าใจ ว่าคืออะไร คือเป็นสิ่งที่มีและเกิดขึ้นปรากฏชั่วคราวแล้วก็ดับไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้แทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น เพราะเห็นว่าเรื่องอื่นสำคัญที่สุดในชีวิต แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เข้าใจว่าสำคัญที่สุดนั้นคือ ปัญญาที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นอะไรสำคัญกว่ากันและอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะว่าทุกคนอาจจะคิดถึงเรื่องสำคัญมากมายในชีวิต แต่ก็ผ่านไปโดยไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็อย่าลืมว่า ชีวิตแต่ละชีวิตย่อมเป็นไปตามภาวนา ภาวนาในที่นี้หมายถึงการอบรม จะเห็นว่าอบรมจากอะไร ก็อบรมจากสิ่งที่เห็นทางตา สิ่งที่ได้ยินทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและใจ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยิน ได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ๆ ในเรื่องของความจริงที่มีจริงในขณะนี้ ชีวิตที่จะเป็นไปข้างหน้า ก็ย่อมเป็นไปตามภาวนา คือ การเข้าใจสิ่งที่มีจริง ๆ ในขณะนี้ตามที่ค่อย ๆ เข้าใจขึ้น มิฉะนั้นชีวิตก็จะเป็นไปตามความไม่รู้ตามความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จึงมีความยึดมั่นเพิ่มขึ้น ๆ จึงยากที่จะไถ่ถอนหรือดับให้หมดสิ้นไปได้
แต่ตราบใดที่ยังมีพระธรรม คำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงอยู่ ให้ได้ยินให้ได้ฟัง ให้ได้พิจารณาอย่างรอบครอบเพิ่มขึ้น ๆ ก็จะทำให้เป็นหนทางที่เมื่อมีวาจาสัจจะ ว่าหนทางนี้มีจริง ก็จะเป็นเหตุให้ผู้ฟังเกิดปัญญาญาณสัจจะ และกำลังเจริญมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นหนที่ที่จะทำให้รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมไม่ใช่เป็นสิ่งที่พาให้ลำบากหรือพาไปอบายภูมิ แต่เป็นหนทางที่จะทำให้มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น เดินไปตามทางของปัญญาที่ได้เข้าใจแล้ว ตรงตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีและทรงอนุเคราะห์ แม้ว่าจะทรงดับขันธปรินิพพานไปกว่า ๒๕๐๐ กว่าปี แต่พระธรรมที่ทรงแสดงความจริงของเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก ในขณะนี้ก็ยังมีอยู่ ให้ผู้ที่เห็นประโยชน์และมีศรัทธาในอดีตกาลมาจนบัดนี้ มีโอกาสที่จะได้ไตร่ตรองและเข้าใจ
เพราะฉะนั้น ต้องไม่ขาดการฟังเพื่อที่จะอบรมปัญญา เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทุกคนสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง รู้ยากเห็นได้ยาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แม้แต่จะพูดเรื่องเห็นขณะนี้ ใจก็จะคิดถึงเรื่องอื่น เพราะว่ายังไม่ถึงกาลที่จะเข้าใจจริง ๆ ถ้าพูดถึงเรื่องเห็นใจก็จะไม่คิดถึงเรื่องอื่น แต่กำลังเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ กว่าที่จะฟังจนเข้าใจแล้วน้อมเข้ามาในตน โอปนยิโก ไม่ใช่น้อมไปที่คนอื่น
ธรรมทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังเป็นสิ่งมีจริง แต่ไม่รู้ก็ไปยึดว่าเป็นตัวตน จนกว่าจะเข้าใจขึ้น โลกก็คือขณะหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏแต่ละทาง ขณะที่แข็งกำลังปรากฏไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย นี่คือสิ่งที่ควรเก็บไว้ในหทัยให้มั่นคง ว่าไม่มีอะไรเลย ที่ว่ามีก็เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ขณะใดก็ตามมีแล้วด้วย เช่น ขณะนี้แข็งก็มี เกิดแล้ว เห็นก็มี เกิดแล้ว สามารถรู้ได้ว่า แต่ละอย่างมีจริงแต่สามารถรู้ได้แต่ละอย่าง ทีละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้แจ้งนิพพานการดับกิเลสก่อนที่จะเป็นไปได้จริง ๆ เมื่อปัญญาได้อบรมเจริญแล้ว ก็คือว่า ค่อย ๆ อบรมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก แล้วก็จะรู้ว่าแม้ฟังมา ก็เป็นความรู้ขั้นปริยัติ ฟังเพื่อเป็นการสะสมความเห็นถูกว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้เลย ก็เข้าใจแต่ละหนึ่ง ว่าเป็นเราหมดเลย
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง ฟังธรรมเข้าใจธรรมที่กลังปรากฏว่าเป็นธรรมแค่ไหน แต่ว่าจะไม่พ้นไปจากความจริงเลย เป็นสัจจวาจา เป็นสัจจธรรมที่จริงตลอด เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่มีโอกาสที่จะได้เห็นถูกเข้าใจถูก จากการที่ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้เลย ในกาลที่ยังไม่เคยฟังพระธรรม แต่เมื่อฟังแล้วมีสิ่งที่เป็นธรรมจริง ๆ ปรากฏให้เข้าใจได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
............................................