Translate

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความหมายของคำว่าโลก





                   ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


 โลก หมายถึง  สิ่งที่แตกดับ ตามนัยของโลก ได้แก่

โอกาสโลก  หมายถึง  โลกที่เป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่สัตว์

สัตว์โลก  หมายถึง  โลก คือ หมู่สัตว์

สังขารโลก  หมายถึง  สังขารธรรม  ได้แก่  รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ถ้าเป็นโอกาสโลก หรือโลกของแต่ละคน จะเกิดหรือมี ก็ต้องมีจิตเกิดขึ้น โลกทางตาจึงจะปรากฏได้ เพราะฉะนั้นโลกจริง ๆ คือ จิตและเจตสิก ซึ่งเป็นธาตุรู้ในแต่ละขณะของรูป สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นและดับไป คือโลก

ทุกคนก็คือโลกแต่ละโลก รวมกันโดยที่คิดว่าอยู่ที่นี่ ทั้งหมดคือความคิด แสดงความจริงก็คือ ขณะที่เห็นนั้นแสนสั้น มีสิ่งที่กำลังปรากฏ มีนามธรรมที่เกิดเห็น แล้วดับ ซึ่งโดยละเอียดแล้ว รูปธรรมดับช้ากว่านามธรรม  นี่คือโอกาสได้ฟังธรรมเข้าใจถูก  รู้ความจริงละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อไม่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา

โลกที่ควรพิจารณา....ถ้าจะคิดนับโลก หรือว่าคิดเรื่องมีอะไรในโลกบ้าง ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ได้รู้ทั่วความจริงของโลกนี้ จึงไม่ควรคิดเรื่องโลกอื่น เพราะไม่ใช่การรู้แจ้งขณะนั้นในโลกนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรรู้แท้จริง ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้


                 (พระสิตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อรหันตสูตร และตกสูตร)

                                                 ...................................                                    


                                          ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านค่ะ





วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

๒๖ ปี สัมพุทธศตวรรษ

สวัสดีค่ะ ท่านผู้ศรัทธาในธรรมทุกท่าน

บล็อกนี้เพิ่งจะเปิดสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้จ๊ะ กว่าจะออกมาเป็นบล็อกที่ท่านเห็นอยู่ขณะนี้ ต้องใช้ความเพียรและขันติมากทีเดียว เพราะทาง Blogger เขาแจ้งว่าเกิดผิดพลาดบางอย่าง เราตั้งแจ็ตเก็ตของเราไว้อย่างหนึ่ง เขาก็ให้เรามาอีกอย่างหนึ่ง ดูแล้วไม่เรียบร้อยนัก รายการต่าง ๆ สับสนหมดเลย แต่ก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือเนื้อหาสาระของบล็อก มีประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน อย่างอื่นก็เอาไว้มีเวลาว่าง ๆ จะลองค่อย ๆ แก้ไขกันอีกทีจ๊ะ....เหตุผลที่เปิดบล็อกใหม่ในวันนี้  ก็เพื่อเป็นพุทธบูชามหาบารมี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องในโอกาส "วันวิสาขบูชา" วันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    
สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า "เจ้าชายสิทธัตถะ" เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุโธทนะและพระนางสิริมหามายา เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกผนวช เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ เมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา พระองค์ทรงใช้เวลาเล่าเรียนจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนัก และได้พยายามฝึกฝนอบรให้หมดสิ้นไปจากจิตมเจริญปัญญา จนกระทั่งบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนสามารถประหารกิเลสมารทั้งหลาย อันได้แก่ โลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ ความขัดเคืองใจ) โมหะ (ความหลงลืมสติ) พระองค์ทรงมีพระทัยผุดผ่องบริสุทธิ์ หาผู้เสมอเหมือนมิได้  พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งทั้งปวง ใช้เวลาถึง ๖ ปี ในการบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก หลังจากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ได้ทรงมีน้ำพระทัยที่จะเผยแผ่ธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เพื่อให้เหล่าเทวดาและมนุษย์ได้รู้และน้อมนำไปปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ด้วย พระองค์ได้ใช้เวลา ๔๕ ปี เพื่อเผยแผ่พระธรรมของพระองค์ จนกระทั่งพระชนมายุ ๘๐ พรรษา จึงได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เพราะฉะนั้น เมื่อย่างเข้าปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ (+๔๕) ก็เท่ากับว่า พระองค์ได้ตรัสรู้มาแล้ว ๒,๖๐๐ ปี  วันวิสาขบูชาในปีนี้ จึงเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า "วันพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "๒๖ สัมพุทธศตวรรษ"

อริยสัจ ๔

ความหมายของอริยสัจ ๔ หมายถึง ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้บุคคลรู้แจ้งเป็นพระอริยะ ได้แก่

ทุกขอริยสัจ หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดดับ ได้แก่ โลกียจิต ๘๓, เจตสิก ๕๑, รูป ๒๘....นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรดับ ที่ว่าสุข โดยสุขเวทนา หรือโสมนัสเวทนา แม้สุขแล้วก็ยังต้องแปรไปอีก เพราะตั้งอยู่ไม่ได้ เพียงนิดเดียวแล้วก็หายไป ซึ่งจะเข้าใจได้ต้องฟัง ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจชัดเจน จึงจะสามารถเข้าใจลักษณะของทุกข์ได้

ทุกขสมุทยอริยสัจ หมายถึง เหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ ความยินดีพอใจ หรือตัณหา หรือโลภเจตสิก

ทุกขนิโรธอริยสัจ หมายถึง ความดับแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน 

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ  หมายถึง  ทางดำเนินไปสู่ ความดับแห่งทุกข์ทั้งปวง  ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘    
              
                 (พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อรหันตสูตรและตกสูตร)                                   
                                       ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ