Translate

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชัมพุกเถรคาถาที่ ๕

 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย จตุกนิบาต ชัมพุกเถรคาถาที่ ๕  มีว่า

พระเถระแม้นี้ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน  ก่อสร้างบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าติสสะ  บังเกิดในเรือนที่มีตระกูล  ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา  เชื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระศาสดา  ไหว้ต้นโพธิพฤกษ์แล้วบูชาด้วยการพัดวี

ด้วยบุญกรรมนั้น  เขาท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ  บังเกิดในเรือนมีตระกูล  ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้วบรรพชาในพระศาสนา  เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในอารามอันอุบาสกคนหนึ่งได้สร้างไว้  อันอุบาสกนั้นอุปัฎฐากอยู่

ภายหลังวันหนึ่ง  พระขีณาสพเถระรูปหนึ่ง  คือ  พระอรหันต์องค์หนึ่ง  ผู้ครองจีวรเก่า ๆ มาจากป่า  บ่ายหน้าไปยังบ้านเพื่อโกนผม  อุบาสกนั้นเห็นเข้าแล้ว  เลื่อมใสในอิริยาบถ  ให้ช่างกัลบกปลงผมและหนวด  ให้บริโภคโภชนะอันประณีต  ถวายจีวรดี ๆ นิมนต์ให้อยู่ด้วยคำว่า  ขอท่านจงอยู่ในที่นี้แหละขอรับ

ภิกษุเจ้าอาวาสเห็นดังนั้น มีความริษยาและมีความตระหนี่่เป็นปกติ.....นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะให้ทานมากมายสักเท่าไรในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ  แต่ถ้ากิเลสยังไม่ดับ ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้มีความริษยา และมีความตระหนี่เกิดขึ้นได้

ภิกษุเจ้าอาวาสกล่าวกะพระเถระผู้ขีณาสพว่า  การที่ท่านเอานิ้วมือถอนผมเป็นอเจลกะ  เลี้ยงชีพด้วยอาหารคือคูถและมูตร ยังประเสริฐกว่าการอยู่ในที่นี้  ด้วยอาการอย่างนี้ของผู้อันอุบาสกลามกนี้บำรุงอยู่ ดังนี้.....ที่ท่านกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่าไม่อยากให้พระขีณาสพเถระอยู่ที่นั่น 

เมื่อกล่าวนี้แล้ว  ก็เข้าไปยังวัจจกุฎีในขณะนั้นนั่นเอง  เอามือกอบคูถกินและดื่มมูตรเหมือนคดข้าวปายาสฉะนั้น  ด้วยทำนองนี้ดำรงอยู่ตลอดอายุ  ทำกาละแล้วไหม้อยู่ในนรก  มีคูถและมูตรเป็นอาหารอีก ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้นนั่นแล  แม้เกิดในหมู่มนุษย์ได้เป็นนิครนถ์มีคูถเป็นภักษา ๕๐๐ ชาติ

ด้วยผลของกรรมยังไม่หมด  คือ ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้  ท่านบังเกิดในกำเนิดมนุษย์อีก  บังเกิดในตระกูลแห่งคนทุกข์ยาก  เพราะกำลังแห่งการว่าร้ายพระอริยเจ้า  เขาให้ดื่มน้ำนม นมสดหรือเนยใส ก็ทิ้งสิ่งนั้นแล้วดื่มเฉพาะน้ำมูตรเท่านั้น  เขาให้บริโภคข้าวสุกก็ทิ้งข้าวสุกนั้น แล้วเคี้ยวกินแต่คูถเท่านั้น  รสดี ๆ ที่อร่อยก็ทิ้งหมด  เพราะกรรมทำให้ไม่สามารถจะบริโภคได้

 เติบโตด้วยการบริโภคคูถและมูตรด้วยอาการอย่างนี้  แม้เจริญวัยแล้วก็บริโภคแต่คูถและมูตรเท่านั้น
พวกมนุษย์เมื่อไม่อาจจะห้ามจากการบริโภคคูถและมูตรนั้น ก็พากันละทิ้งเขาไป  เขาอันพวกญาติละทิ้งเสียแล้ว  จึงบวชเป็นนักบวชเปลือย ไม่อาบน้ำครองผ้าเปื้อนด้วยธุลีและฝุ่น  ถอนผมและหนวด ห้ามอิริยาบถอื่น เดินด้วยเท้าเดียว ไม่ยินดีการนิมนต์  ถือเอาโภชนะที่ผู้ต้องการบุญ  อธิษฐานเข้าอยู่ประจำเดือน  ให้ด้วยปลายหญ้าคาเดือนละครั้ง  กลางวันเลียด้วยปลายลิ้น  ส่วนกลางคืนไม่เคี้ยวกิน ด้วยคิดว่าคูถสดมีตัวสัตว์จึงเคี้ยวกินแต่คูถแห้งเท่านั้น

เมื่อเขาทำอยู่อย่างนี้ล่วงไป ๕๕ ปี  มหาชนสำคัญว่า เป็นผู้มีตบะมาก มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง  จึงได้น้อมไปหาเขา โอนไปหาเขา.....แม้กระนั้นก็ยังมีคนเห็นผิดในสมัยนั้น เห็นว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการมักน้อย  เพราะเหตุว่า เขาได้ทำมาเป็นเวลานานถึง ๕๕ ปี  จึงทำให้คนบางกลุ่มมีความโน้มเอียงไปในทางเห็นผิด ไม่มีเหตุผลและ เกิดความเลื่อมใสได้

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตร เห็นธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตรุ่งเรืองอยู่ในภายในดวงหทัยของเขา เหมือนประทีปในหม้อฉะนั้น  แล้วพระองค์เสด็จไปในที่นั้นแสดงธรรม ให้เขาดำรงอยู่ในโสตาปัตติผล ให้เขาได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ขวนขวายวิปัสสนา ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต

เมื่อท่านดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว  ได้ปรินิพพาน......นี่ก็แสดงว่า ท่านได้ปฏิบัติผิดในขั้นต้น ภายหลังได้อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บรรลุธรรมที่พระสาวกควรบรรลุ  ท่านจึงได้กล่าวคาถานี้ว่า 

เราเอาธุลีและฝุ่นทาตัวอยู่ตลอด ๕๕ ปี  บริโภคอาหารเดือนละครั้ง ถอนผมและหนวด ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว  งดเว้นการนั่ง  กินคูถแห้ง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชื้อเชิญ  เราได้ทำบาปกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติเป็นอันมากเช่นนั้น  ถูกโอฆะพัดไปอยู่  ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง  ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่ธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ  วิชชา ๓  เราได้บรรลุแล้ว  เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว


                                              ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

                                                ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์