ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น |
จะหลับหรือตื่นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อมีเหตุปัจจัยทำให้หลับ ภวังคจิตก็จะเกิดขึ้นทำกิจ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลของกรรมได้เลย เวลาตื่นขึ้นก็ต้องมีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้กระทบสัมผัสทางกายบ้าง คิดนึกบ้าง ซึ่งเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น
สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จิตที่ทำภวังคกิจเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม จะห้ามไม่ให้หลับไม่ได้เลย เมื่อเหตุปัจจัยที่จะทำให้หลับ ภวังคจิตก็เกิดขึ้นทำกิจ...... จิตที่หลับ คือ ภวังคจิต เป็นวิบากจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย.....ภวังคจิต ทำกิจดำรงภพชาติในขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่กระทบสัมผัส ไม่นึกคิด...... เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ชัดในเรื่องของกรรมและวิบาก ก็จะต้องรู้ด้วยว่า แม้การหลับและการตื่นก็เป็นผลของกรรม
ขณะทีจิตกำลังทำภวังคกิจ ไม่มีกิเลสใด ๆ เกิดร่วมกับจิตนั้นเลย เพราะไม่มีอารมณ์ต่าง ๆ มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เมื่อไม่เห็นก็ไม่มีความยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อไม่ได้ยินก็ไม่มีความยินดียินร้ายในเสียง ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้กระทบสัมผัสและไม่คิดนึกก็จะไม่มีความยินดีพอใจเกิดขึ้นเลย....
วันหนึ่ง ๆ หนีไม่พ้นเรื่องผลของกรรมที่จะต้องหลับบ้างตื่นบ้าง และบางครั้งการไม่หลับ ก็ไม่ใช่เพียงเป็นผลของกรรมเท่านั้น แต่เป็นผลของการสะสมอกุศลก็ได้ เพราะเหตุว่าจิตที่เป็นโลภะเกิดขึ้นนึกคิดเรื่องราวต่าง ๆ ทางใจ แม้ว่าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งกระทบสัมผัส แต่ขณะที่กำลังคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ ทางใจในขณะนั้น ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกิเลสที่ทำให้ไม่หลับ
ถ้าพิจารณาก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตในแต่ละขณะจิตหนีไม่พ้นกรรมและผลของกรรมเลย
..................................................................
ขออุทิศส่วนกุศลใด้แก่สรรพสัตว์